674 จำนวนผู้เข้าชม |
*ใช้ background ให้่เหมาะกับสินค้า ไม่ว่าจะเป็น สี , รูปร่าง , ความเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์
ยกตัวอย่างในภาพ
เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ทางช่างภาพจึงนำผ้ามาวางเป็น Background แล้วจัดผ้าให้คล้ายกับเส้นผม ให้ความรู้สึกผมสวยจริง ๆ
ส่วนเรื่องสีก็ใช้ tone เดียวกัน ทำให้ภาพคุมโทนน่าสนใจมากขึ้น
*ใช้อุปกรณ์ประกอบฉาก (prop.) มาเสริมในเฟรม เพื่อดึงให้ตัวผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจมากขึ้น
ยกตัวอย่างในภาพ
เป็นผลิตภัณฑ์ต้มหู ช่างภาพจึงนำกระจกและสร้อยมาวางข้าง ๆ ด้วย และนำหนังสือที่มีสีโทนเดียวกับผลิตภัณฑ์ จึงทำให้ดูมีเรื่องราวและน่าสนใจมากขึ้น
*ถ่ายจากมุมบน (Flat lay)
FLAT LAY คือการถ่ายภาพ ที่มองแล้วดูเรียบง่าย สบายตา และเป็นการนำสิ่งของที่เป็นหมวดเดียวกันหรือโทนเดียวกัน มาวางในแนวราบ แล้วถ่ายภาพออกมา ในมุม 90 องศา
*ลองเพิ่ม action ให้กับสินค้า เช่น การโยนให้ลอยอยู่ในอากาศ หรือถ้าเป็นเครื่องดื่ม ก็อาจจะนำน้ำมาสาดให้ดูน่าสนใจมากขึ้น
*การนำแสงธรรมชาติมาเล่น อาจจะเห็นกันบ่อยในการถ่ายภาพบุคคล (portrait) แต่เมื่อลองนำมาถ่ายกับสินค้า ก็ทำให้สินค้าเราดูมีลูกเล่น (gimmick) มากยิ่งขึ้น
*การจัดแสงเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ
ในหลักการของการถ่ายภาพและศิลปะ ต้องมีจุดที่เข้มและสว่างที่สุด การจัดไฟจึงสำคัญมาก
ควรจัดไฟให้สินค้าของเรามีทั้ง highlight และ shadow ในภาพหนึ่งภาพ จะทำให้ภาพนั้นมีมิติและสมบูรณ์แบบที่สุด
*มินิมอล (minimal) ไปเลย
การถ่ายแบบนี้เหมือนจะง่าย เพราะใช้ สี , prop น้อยมาก ทุกอย่างต้องดูเรียบ แต่เราจะทำยังไงให้ความเรียบนี้ไม่ธรรมดา
ยกตัวอย่างในภาพ
ถ้าสมมุติว่า appl watch เรือนนี้ถูกปิดหน้าจอไว้ ก็จะเป็นภาพที่ดูธรรมดา แต่เมื่อเราเปิดหน้าจอ ให้มีสีสันมากขึ้น จะทำให้ Apple watch ของเราดูเด่นขึ้นมาก
ลองไปปรับใช้กับสินค้าตัวอื่นนะคะ
*งานขายก็มา ถ่ายมาโคร (macro) ไปเลยค่า
close up ไปที่สินค้าของเรา ไม่ว่าจะเป็นชื่อแบรนด์ หรือ detail ของสินค้า ให้เห็นชัด ๆ กันไปเลยว่าของเราดียังไง
*ลองวางสินค้าของเราเป็น pattern ดู นำสินค้าที่อยู่ในหมวดเดียวกัน มาวางเรียง ๆ ให้เป็น pattern ก็น่าสนใจไปอีกแบบ
แต่ข้อความระวังคือ อย่าให้สินค้าที่เราจะ present ถูกกลืนไปกับสิ่งที่เราเอาเสริมนะคะ